คำถามนี้ถูกถามบ่อยมาก โดยเฉพาะจากบริษัทเล็กที่ไม่สามารถเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายนี้กับ Supplier รายอื่นๆ คือประมาณว่า Buyer บอกเรทมาอะไรมา ก็ว่าตามนั้น ไม่กล้าหือกล้าอือ

ทุกครั้งผมก็จะให้หลักการไปว่า

  1. Mail/ฺBrochure ราคาเท่าไหร่ ไม่สำคัญ ให้ดู ROI (Return on Investment) เป็นหลัก
  2. ถ้าต่อรอง ลดค่าใช้จ่ายกับ Buyer ไม่ได้ ให้หาวิธีใช้เงินให้คุ้มค่ามากที่สุด พูดง่าย ๆ คือ จ่ายเท่าเดิม แต่หาวิธีให้ได้ยอดขายมากขึ้น เช่น
  3. อีกหลักการนึงที่ผมแนะนำ คือ การเปรียบเทียบกับสื่ออื่น เพราะการลง Mail/Brochure ถือว่าเป็นการลงสื่อชนิดหนึ่ง เพราะฉะน้น ด้วยจำนวนเงินเท่ากัน อาจจะมองว่า เอาไปทำอะไรอย่างอื่นที่ให้ผลลัพธ์พอๆ กัน

หลักการประเมินผลการลง Mail
1) Mail/ฺBrochure ราคาเท่าไหร่ ไม่สำคัญ ให้ดู ROI (Return on Investment) เป็นหลัก

ROI = Incremental Sales หารด้วย Incremental Expense

  • สูตร ROI = รายได้(ที่เพิ่มขึ้น) หาร เงินที่ลงทุน คูณ 100%
  • เช่น ค่าลง Mail 100,000 บาท ได้ยอด(เพิ่มจากเดิม)กลับมา 100,000 บาท
  • ดังนั้น ROI = 100% คือ เท่าทุน
  • แต่ถ้า ค่าลง Mail 100,000 ได้ยอด(เพิ่มจากเดิม)กลับมา 10,000
  • อันนี้ ROI = 10% เท่ากับ ขาดทุนเห็นๆ
  • เพราะฉะนั้น ROI ควรจะได้อย่างน้อยที่สุดคือ 100%

***ข้อควรระวังคือ เอายอดขายส่วนที่*เพิ่ม มาคำนวณนะครับ เช่น ปกติขายได้ 100,000 บาทต่อวีค ลงเมล์แล้วได้ 150,000 ยอดที่เพิ่มขึ้นคือ 50,000 บาท แต่ต้องจ่ายค่าเมล์ 100,000 นึง แบบนี้อยู่เฉยๆ ดีกว่า

2) ถ้าต่อรอง ลดค่าใช้จ่ายกับ Buyer ไม่ได้ ให้หาวิธีใช้เงินให้คุ้มค่ามากที่สุด พูดง่าย ๆ คือ จ่ายเท่าเดิม แต่หาวิธีให้ได้ยอดขายมากขึ้น เช่น
  • เพิ่มจำนวน SKU ที่ลง – ขอลงหลาย SKU, หลายรส/กลิ่น
  • เพิ่มขนาดรูปที่ลง – จ่ายเท่าเดิม รูปใหญ่ขึ้น
  • ขยับไป Location ที่เด่นขึ้น – ปกหน้า ปกหลัง
  • ขอพื้นที่พิเศษเพิ่ม – เริ่มจากขอเพิ่มแค่บางสาขาก่อน
  • เพิ่มจำนวนครั้ง/เพิ่มระยะเวลา
3) อีกหลักการนึงที่ผมแนะนำ คือ การเปรียบเทียบกับสื่ออื่น เพราะการลง Mail/Brochure ถือว่าเป็นการลงสื่อชนิดหนึ่ง เพราะฉะน้น ด้วยจำนวนเงินเท่ากัน อาจจะมองว่า เอาไปทำอะไรอย่างอื่นที่ให้ผลลัพธ์พอๆ กัน

เช่นมีเงิน 100,000 บาท
1) ลงเมล์กับห้าง 1 SKU 1 ครั้ง 2 Weeks
2) ซื้อป้ายโฆษณาหน้าห้าง MBK ลงกี่ SKU ก็ได้ ได้ 1 เดือน

อนึ่ง อันนี้มองในมุมมองผู้บริหารนะครับ เพราะหลายบริษัท

  • ข้อ 1) เป็นเงิน Sales ==> มุ่งสร้างยอดขาย
  • ข้อ 2) เป็นเงิน Marketing ==> มุ่งสร้าง Brand

ยังไงลองดูราคาป้ายโฆษณา (ราคาจริง) ประกอบนะครับ

ราคาป้ายโฆษณาแบบลงเฉพาะจุด
  • ป้ายหน้าห้าง EmQuartier ติดกับ BTS พร้อมพงษ์ จะมีราคาโฆษณาอยู่ที่ 390,000 บาทต่อเดือน
  • ป้ายหน้าห้าง MBK Center ติดกับ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ จะมีราคาโฆษณาอยู่ที่ 100,000 บาทต่อเดือน
  • ตึก Lumpini Park View ตรงแยกพระราม 4 มีลักษณะเป็นป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงสูงขนาบไปกับตึก จะมีราคาโฆษณาอยู่ที่ 375,000 บาทต่อเดือน
  • ป้าย Serie Pole ขนาด 4×6 เมตร แสดง 3 Panel จำนวนการแสดง 6 Faces ราคาอยู่ที่ 850,000 บาทต่อเดือน
  • ป้ายโฆษณาแบบ Wrap ติดรอบขบวนรถไฟฟ้า มีราคาโฆษณาที่ ราคาอยู่ที่ 799,000 บาทต่อเดือน
  • ป้ายโฆษณาทางด่วน บริเวณมุ่งหน้าไปทางบางนา ขนาด 15×50 เมตร จะมีราคาโฆษณาอยู่ที่ 850,000 บาทต่อเดือน
  • ป้ายโฆษณาทางด่วน บริเวณมุ่งหน้าไปสนามบินสุวรรณภูมิ ขนาด 17×62 เมตร ราคาอยู่ที่ 500,000 บาทต่อเดือน
  • ป้ายทางด่วนหมอเหล็ง บริเวณซอยหมอเหล็ง ขนาด 18×58 เมตร ราคาอยู่ที่ 950,000 บาทต่อเดือน
  • ป้ายยาวหน้าทางเข้าสนามบินสุวรรรภูมิ ขนาด 18×201 เมตร ราคาอยู่ที่ 2,200,000 บาทต่อเดือน

ที่มา : https://www.thumbsup.in.th/price-of-out-of-home-ads


สรุป

การลง Mail เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่เราใช้ทำ Promotion เพื่อหวังผลในการเพิ่มยอดขาย และขยับ Base Line Sales
ดังนั้น หากเครื่องมือนี้ใช้ไม่ได้ผล หรือ มีเครื่องมืออื่นที่ได้ผลดีกว่า ก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับการลง Mail

หากต้องการเปลี่ยนจากการลง Mail เป็นกิจกรรมอื่น คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคงต้องผ่านด่าน Buyer ให้ได้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่สำคัญสุดคือ คุณรู้หรือยังว่า เครื่องมืออะไรได้ผลคุ้มค่าที่สุดสำหรับสินค้าของคุณ?


ศึกษา Tips ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการลงเมล์ ได้ในบทความนี้ 11 ข้อควรรู้ ก่อนลง Mail กับห้ง MT