คำถาม : สวัสดีคร้า เจอปัญหานี้เลยเต็มๆคร้า
“เราเสนอสินค้าใหม่อิง GP สินค้าเราที่ปัจจุบันจำหน่ายใน 7-11
เเต่7-11ไม่ยอม บอกจะอิงกลุ่มสินค้า ที่ขายใน7-11ควรทำไงดีค่ะ”
NPD = New Product
GP = Gross Profit
คำตอบ :
Buyer ทำแบบนี้ไม่มีอะไรแปลกครับ นั่นเป็นเพราะหนึ่งใน KPI ของ Buyer คือ GP
และเป้า GP ที่ได้รับ ก็แบ่งตามกลุ่มสินค้า (Category) ซึ่งแต่ละ Category ก็เก็บไม่เท่ากัน ซึ่งโดยส่วนมากเป็น GP เฉลี่ยของ Total Category ที่ใช้ปีที่แล้วเป็นฐาน
เช่น
- Snack GP 50%
- ลูกอม GP 25%
- (ตัวเลขสมมติ)
GP รวมของ Category
ก่อนตอบคำถามคุยเรื่องนี้ก่อนครับ
มองแง่ Buyer ต่อนะครับ (จริงๆ เป็นหลักคณิตศาสตร์ล้วนๆ)
สมมติ Total Category GP อยู่ที่ 25%
สินค้าใน Category นี้จะประกอบด้วย
- สินค้าที่ GP ต่ำกว่า 25%
มีจำนวนอยู่ไม่กี่ SKU ซึ่งส่วนใหญ๋ เป็นตัวขายดีมาก - สินค้าที่ GP ประมาณ 25%
มีจำนวน SKU มากสุด ซึ่งก็เป็นสินค้าส่วนใหญ่ เป็นตัวที่ขายได้เรื่อยๆ - สินค้าที่ GP สูงกว่า 25%
มีจำนวนอยู่ไม่กี่ SKU ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นสินค้าขายช้า
เมื่อ GP ไม่เท่ากัน ก็นำทั้ง 3 กลุ่มมารวมคิดเป็นก้อนใหญ่ของทั้ง Category
ทำไมต้องเรียก GP สูง?
หากให้สรุปหลักการเรียก GP ที่อธิบายข้างต้น มี 2 เหตุผลหลักที่ต้องเปิด GP สูง คือ
- เพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้ดึงค่าเฉลี่ย Total Category ลง – ถ้าเจ้าใดเจ้าหนึ่งดึงค่าเฉลี่ยลง ก็ต้องใช้เจ้าอื่นดึงขึ้น ซึ่งอยู่ดีๆ จะต้องเหนื่อยทำแบบนี้เพื่ออะไร
- เพื่อการเจรจาต่อรอง – ขอไปเยอะ เผื่อฟลุ๊ค Supplier ไม่ต่อ ก็ลูบปากครับ
ทักษะการเรียก GP ในทางปฏิบัติ
กลับมาที่คำถามข้างบน เอาให้เห็นภาพชัดๆ
สมมติปัจจุบัน คุณมีขายลูกอม A อยู่บน Shelf มานานละ ตัวนี้ให้ GP 25% (match Total Category GP)
ก็เลยเสนอลูกอม B เข้าไปใหม่ โดยเสนอให้ GP 25% เท่าลูกอม A
แบบนี้ Buyer ไม่รับแน่นอนครับ เพราะอย่าลืมนะครับว่า Total Category GP ตอนนี้อยู่ที่ 25%
ให้ทายกันต่อว่า (สมมติคุณเป็น Buyer) ถ้ามีสินค้าใหม่เข้ามาเสนอ คุณจะเปิด(เรียก) GP ที่กี่ % ล่ะครับ
ถ้าเป็นผม จะเปิด 30% เผื่อต่อนิดหน่อย
เพื่อไปจบที่แถวๆ 28%
แค่นี้ก็มั่นใจละว่า Total Category GP ไม่ตกแน่นอน
ต่อรองอะไร Buyer ได้บ้างมั้ย?
ถ้าคุณยังมุ่งมั่นที่จะเสนอ New Product ที่ GP ให้ได้ต่ำกว่า 25% ต้องทำยังไง?
ตอบสั้นๆ แบบกำปั้นทุบดิน คือ
“ทำยังไงก็ได้ ให้เค้าอยากได้สินค้าเรา”
หากถามต่อว่า “ต้องทำยังไง?”
ตอบว่าสูตรสำเร็จไม่มี
สินค้าแต่ละตัว ต้องไปค้นคิดวิธีการของตัวเองมา
ส่วนตัวอย่างที่ทำสำเร็จมีให้เห็นเยอะนะครับ หลังไมค์มาถามกันต่อได้
สรุป
แม้จะจบเรื่อง GP ไปได้ ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะต้องจัดการไปพร้อมกัน
- ค่า Listing Fee
- จำนวนสาขาที่เข้า
- Target Sales per Store
- DC Fee
- Packsize / Inner Pack
- เป็นต้น
ขั้นตอนการ List สินค้าใหม่นั้น มี Supplier ที่รู้สึกว่าผ่านด่านง่าย และบางรายก็รู้สึกว่าผ่านยากผ่านเย็น และ GP เป็นแค่ 1 ในหลายๆ ด่าน
หากคุณเข้าใจกระบวนการทั้งหมด และเตรียมตัวมาสำหรับทุกด่าน ไม่ว่าจะ List สินค้าอะไร ก็ผ่านฉลุยหมด
คำแนะนำสุดท้ายคือ ก่อนจะลงสนามจริง ช่วยซ้อมกันภายในก่อน เดาใจ Buyer กันให้ทะลุ จะได้ไม่ต้องกลับไปกลับมาหลายรอบ